วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

The Pursuit of Happyness





คริสโตเฟอร์ พอล การ์ดเนอร์ เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเขาเอง เป็นนายทุนที่ร่ำรวย มีความสามารถในการพูดจูงใจผู้อื่นและยังใจบุญอีกด้วย เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 ที่มิลวอคกี วิสคอนซิน ในช่วงทศวรรศที่ 1980 นั้น คริสต้องเผชิญกับช่วงที่ยากลำบากของชีวิต เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเนื่องจากไม่มีบ้านอยู่ทั้งๆที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูก ชายคนเดียว คริสโตเฟอร์ จูเนียร์[1] อีกคน หนังสือชีวประวัติของคริสนั้นตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2006 โดย Amistad และ HarperCollins

ในปี 2006 นั้น เขาเป็นซีอีโอของบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของเขาเองคือ Gardner Rich & Co มีสำนักงานอยู่ที่ชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ อันเป็นที่อยู่ของเขาในคราวที่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก คริสบอกว่าความสำเร็จและอดทนของเขานั้นได้รับมาจากแม่ Bettye Jean Triplett, née Gardner และกำลังใจที่สำคัญที่สุดในการสู้ชีวิตของเขาคือลูกชายคริส จูเนียร์ (เกิดปี ค.ศ. 1981) และลูกชายจาซิสตา (เกิดปี ค.ศ. 1985) ของเขานั่นเอง[1] คริสต้องเผชิญกับช่วงลำบากของชีวิต เขาสร้างตัวมาจากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นในช่วงที่เป็นพ่อหม้ายและคนพเนจรไร้ บ้าน จนได้มีการนำชีวประวัติส่วนหนึ่งของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ[2]

ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1981 นครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ลินดา และ คริส การ์ดเนอร์ อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์หลังเล็กๆหลังหนึ่งกับลูกชาย คริสโตเฟอร์ คริสได้ลงทุนเอาเงินเก็บของครอบครัวเกือบทั้งหมดไปใช้ในกิจการแฟรนไชส์ขาย เครื่องสแกนความหนาแน่นของกระดูก อันเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถสแกนได้ดีกว่าเครื่องเอกซ์เรย์เพียงเล็ก น้อยแต่คุณหมอส่วนใหญ่ที่คริสไปเสนอขายให้นั้นกลับบอกว่าเครื่องนี้มีราคา แพงเกินไป ทำให้ขายไม่ค่อยได้ ลินดา ภรรยาของคริสต้องทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวที่แผนกซักรีดในโรงแรมเล็กๆแห่ง หนึ่ง ทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยครั้งเนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ค่อย จะดีนัก ทั้งค่าเช่าที่ค้างจ่ายมานาน ทั้งภาษีหรือบิลต่างๆก็ค้างชำระมาหลายงวด คริสมักจะจอดรถไว้ในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จอดเพื่อที่จะให้ไปทันเวลานัด หมายกับคุณหมอ หลังจากที่ไม่ไปชำระค่าที่จอดรถหลายงวดนั้น ในที่สุดรถของเขาก็ถูกยึดไป ในที่สุด ลินดาก็ได้ลาออกจากงานและก็ตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปในที่สุดเพื่อเดินทางไป ยังเมืองนิวยอร์กเผื่อจะมีงานที่ดีกว่า ทิ้งให้สองพ่อลูกต้องอยู่กับตามลำพังตามที่คริส ผู้เป็นพ่อได้ขอเอาไว้ว่าอย่าพรากลูกไปจากเขา

คริสตัดสินใจเข้าฝึกอบรมที่บริษัทนายหน้าค้าหุ้น ดีน วิทเทอร์ เรย์โนลด์ส ทั้งๆที่ไม่ได้รับเงินเดือนในช่วงของการฝึกงานเลย และจะมีผู้ฝึกอบรมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการว่าจ้างให้เข้าทำงาน เนื่องด้วยงานนี้ไม่มีค่าตอบแทนแถมเขายังขายเครื่องสแกนเนอร์ไม่ออก จึงทำให้เขาและลูกชายพบกับความยากลำบาก จนในที่สุดก็กลายเป็นคนไร้บ้าน ในยามกลางคืน เขาและลูกชายต้องใช้ชีวิตไปกับการนั่งรถบัสและนอนในห้องน้ำสาธารณะของสถานี รถไฟใต้ดินพร้อมของติดตัวไม่กี่ชิ้น จากนั้นก็ได้ไปอาศัยอยู่แบบชั่วคราวที่โบสถ์ไกลด์ เมโมเรียล ชนิดที่วันไหนไปเข้าแถวทันก็จะได้อยู่ วันไหนไปไม่ทันก็อด ต้องทนกับความหนาวเหน็บของช่วงเวลากลางคืนอันโหดร้าย ทำให้เขาต้องรีบออกจากการฝึกอบรมโดยเร็ว เพื่อไปรับลูก แล้วไปต่อแถวเข้าพักให้ทัน หลังจากที่ต่อสู้กับชีวิตมาได้ซักระยะหนึ่ง เขาก็จบหลักสูตรการอบรม ได้สอบจบหลักสูตร และในที่สุด เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกอบรมเพียงคนเดียวที่บริษัทตัดสินใจจ้างเข้าทำงาน ทำให้ชีวิตของเขาหลังจากนี้ไปเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาเรียกว่า ความสุข

ข้อมูลจาก
http://th.wikipedia.org/wiki
http://th.wikipedia.org/wiki/The_Pursuit_of_Happyness

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น