นี่คือหนึ่งในสุดยอดคดีปริศนาทั้งสิบที่ไขไม่ออก การฆาตกรรมหญิงบ้ามากรัก ฉายา เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย แสนสยดสยองทำไมฆาตกรถึงลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับเธอถึงปานนี้
ศพสยองข้างทาง
ตอนสาย ๆ วันที่ 15 มกราคม 1947 ถนนนอร์ตัน สวนสาธารณะไลเมิร์ต ชานเมืองลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกาเบ็ตตี้ เบอร์ซิงเกอร์ แม่บ้านกำลังพาลูกสาวตัวน้อยแอนนี่เดินไปซ่อมรองเท้าของแก ที่สุดถนนนอร์ตัน ใกล้ๆ นี้เองเมื่อเดินผ่านสวนสาธารณะแอนนี่ลูกสาวตัวน้อยเหลือบไปเห็นของบางอย่างข้างทางเข้า "มันเป็นร่างขาวโพลน นอนอยู่บริเวณบริเวณหญ้าที่ขึ้นรก มันเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่ชำรุด"สอง แม่ลูกเข้าไปใกล้ตัวความอยากรู้อยากเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอเข้าไปดูใกล้ๆ เผยความจริงเธอถึงกับช็อก เพราะร่างนั้นไม่ใช้หุ่นแต่เป็นศพของผู้หญิงเปลือยโล่งโจ้ง ถูกหั่นบั่นเอวจนร่างขาดจากกันเป็นสองท่อนอย่างประณีต ราวกับอาวุธที่ใช้เป็นมีดหั่นเนื้อที่คมกริบ เอวเธอจึงขาดออก รอยแผลเรียบไม่มีเนื้อเยื่อหรือเอ็นขาดกะรุ่งกะริ่ง แม้ร่างแยกออกเป็นสองท่อน ใบหน้าของเธอยังดูยิ้ม นัยน์ตาเปิดอยู่ครึ่ง ๆ ปากเผยยิ้มน้อย ๆ และมุมปากเหยียดออกทั้งสองข้าง อย่างสยดสยอง ส่วนท่องร่างก็สยองไม่แพ้ท่อนบน ด้วยมันเปลือยเปล่าและวิตถารที่สุดคือกระจุกเศษไม้ใบหญ้าที่ช่องเพศจนเปิดอ้า ช่างน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง
พบศพ
แอนนี่รีบฉุดแม่หนีจากภาพสยอง พอเบ็ตตี้ได้สติเธอวิ่งหาโทรศัพท์สาธารณะหาตำรวจแจ้งเหตุร้าย และ ในขณะเดียวกันกับนักดับเพลิงประจำท้องถิ่นผ่านมาถึงกับหยุดจอดเพราะนึกว่า รูปปั้นทิ้งไว้ แต่พอเห็นศพทั้งคู่ถึงกับโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ไม่กี่นาที ตำรวจทั้งสองนายก็มาถึงในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องค้นหาให้ยุ่งยากเลยว่าศพอยู่ไหน เพราะมันนอนเด่นเป็นสง่านั้นไง! ติดต่อกำลังเสริมด้วย คดีนี้ดังแน่ ๆ
ไม่นานพวกนักข่าว ช่างภาพ ประชาชนเริ่มเข้ามาสถานที่เกิดเหตุก่อนตำรวจเสียอีก และย่ำสถานที่เกิดเหตุจนเละเทะไปหมด มันทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยุ่งยากไม่น้อยเลย อย่าง ไรก็ตามตำรวจสรุปว่า สภาพโดยรวบที่พบศพ ไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ศพถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ตัวศพเองก็ขาวซีดเผือกเพราะเลือดไหลออกไปทุกหยาดหยดแล้ว แสดงว่าศพผู้ตายถูกฆ่าและหั่นจากร่างจากที่อื่น และฆาตกรเอาศพของเธอมาทิ้งที่ถนนนอร์ตันนี่ ประเด็นที่สำคัญคือ มันเอาศพเธอทิ้งทำไมตรงนี้? ตรง ที่ศพนอนอยู่น่ะ มันเป็นเป้าสายตาสาธารณชนเดินผ่านไปผ่านมาเกือบตลอดทั้งวี่ทั้งวัน มันคล้ายกับฆาตกรจงใจโชว์ผลงานของมันให้ประชาชนเห็นได้ชัด ๆ แล้วฆาตกรมันเอาศพมาทิ้งได้อย่างไร มันไม่ใช้ของง่าย ๆ น่ะจะบอกให้ ฆาตกรต้องเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นและจับได้คาหนัง คาเขาเลยที่เดียว มีทางเป็นไปได้ว่าคนร้ายนำศพมาไว้ตรงนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่หนูน้อยแอนนี่จะไปเหลือบเห็นเข้า แต่ ปริศนาก็คลี่คลาย เมื่อเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ทุกเช้าตรู่ เขาเห็นรถสีดำแล่นช้า ๆ มาตามขอบถนนใกล้ ๆ กับที่ทิ้งศพนั้น ใน ที่สุดศพทั้งสองท่อนก็ถูกนำไปยังนิติเวช เพื่อชันสูตรและถ่ายรูปไว้อย่างละเอียดจากนั้นก็ถูกนำไปเก็บในช่องแช่แข็ง แช่ศพเพื่อทำรูปคดีต่อไป จนได้ข้อมูลชวนสยองนี้เข้า.......
การชันสูตรศพ
ตาม ธรรมเนียมนิยมของตำรวจสหรัฐฯนั้น เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าศพของเหยื่อฆาตกรรมเป็นใคร เขาจะตั้งชื่อศพผู้หญิงว่า เจนโด แล้วใส่หมายเลขลำดับศพที่พบต่อท้าย ในเวลานั้นศพถูกเรียกว่า เจนโด หมายเลข 1 เช้าวันที่ 16 มกราคม 1947 เจนโด หมายเลขหนึ่ง ถูกวางไว้บนเตียงเหล็กแคบ ๆ ผิวสัมผัสมันปลาบเย็นเฉียบใช้สำหรับการชันสูตรศพโดยเฉพาะ แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชจัดการดึงเอาสิ่งที่ฆาตกรอุดไว้ในช่องเพศและช่อง ทวารหนักของเธอออกมา แล้วเขาก็พบว่าในทหารหนักมีเศษเนื้อและหนังเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยรวมอยู่ด้วย หลายก้อน มันเป็นเนื้อที่ฆาตกรใช้มีดตัดคว้านจากบริเวณจากบริเวณขาอ่อนเธออย่างป่าเถื่อนทารุณ เห็นแล้วใจหาย สิ่ง ที่ทำให้แพทย์งงงันจนหงุดหงิดยังมีมากกว่านั้น เพราะแม้ จะเอาคีมยาวคีบเศษดินออกจากช่องคลอด แต่มันก็ยังตันเหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่นั้นเอง
การชันสูตรนี้ สรุปเป็นรายงานได้ว่า
"...... มีรอยถลอกมากมายหลายซับหลายซ้อนบริเวณหน้าผากและแถวๆ ขมับซ้าย รวมทั้งแนวตีนผมเป็นรอยครูดเล็ก ๆ แต่ที่ผิวหนังก็ฉีดขาดจนมีเลือดออกซิบ ๆ ลำตัวถูกตัดขาดออกจากกัน ด้วยรอยผ่าที่เกือบเป็นแนวตรง ตัดลึกผ่านส่วนท้อง บริเวณเหนือหัวเหน่าที่รอยครูดลักษณะกากบาทเล็กๆ เต็มไปหมดทั้งท้องน้อย ที่ ลำไส้และไตทั้งสองข้างมีรอยครูดและเลือดออก ท่อรังไข่เล็กนิดเดียว และไม่พบการตั้งครรภ์ มดลูก รังไข่ และช่องคลอดส่วนบนไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย....ในช่องคลอดส่วนถัดลงมามี ชิ้นส่วนเนื้อหลุดลุ่ยติดอยู่ เป็นเนื้อที่ปรากฏรอยช้ำและรอยถลอกหลายรอย ไม่พบเชื้ออสุจิ แต่ก็คล้ายว่ามันถูกเช็ดหรือล้างออกหมดแล้ว สันนิษฐาน ว่า รอยครูด รอยถลอก และการถ่างทวารหนักจนเปิดกว้างนั้น(วัดขนาดได้ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว) เกิดขึ้นจากผู้หญิงนิรนามคนนี้สิ้นใจแล้ว แต่กระนั้นเธอต้องดิ้นรนอย่างรุนแรงที่เดียวเลยเหละเพราะความเจ็บปวดแสน สาหัสจากการที่ฆาตกรใช้ของมีคมทารุณต่อร่างกายของเธอ!" มันทำเช่นนั้นทำไม การ ยัดเศษเนื้อเศษหญ้าไว้ในช่องคลอดก็เป็นปริศนาที่น่าคิดอีก จิตใจของฆาตกรรายนี้มันเคียดแค้นอะไรกันหนักกันหนา ทารุณขนาดนี้มันยังไม่หนำใจ มันถึงดึงถอนขนบริเวณหันหน่าเธออกเป็นกระจุกๆ....ตอนสดๆ แล้วยัดลงในทวารหนักของเธอด้วย ใน กระเพาะอาหารเต็มไปด้วยของเหลวข้นๆ สีน้ำตาลอมเขียวเป็นลักษณะเป็นเม็ดๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคืออุจจาระของมนุษย์นี้เองและยังมีสิ่งที่ปนมากลับ อุจจาระนี้ด้วย แต่ไม่สามารถชี้ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่พบอสุจิ...." จาก การชันสูตร ทำให้เราเห็นนาทีสุดท้ายอย่างชัดเจนเธอถูกทรมาน เจ็บปวดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์จะทานทนได้ และยังถูกบังคับให้ถูกกลืนอุจจาระจำนวนมาก จนอิ่มเต็มกระเพาะ! เธอ ถูกข่มขื่นทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก แต่ฆาตกรสามารถกำจัดร่องรอยอสุจิของมันออกไปอย่างหมดจด เพราะหลังจากมันฆ่าเธอแล้ว มันลากศพเธอไปสระผมด้วยแชมพู เอาสบู่ฟอกเธอทั้งตัว! แน่นอน! มันต้องหั่นศพของเธอเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว เลือดสดๆ ยังคงไหลลงท่อน้ำทิ้งไปทุกหยาดหยดจนหมดร่าง ดังนั้นผิวของเธอจึงซีดขาวเผือกเหมือนขี้ผึ้งและมันจนขึ้นเงา เมื่อมันร่างศพจนพอใจแล้วก็ไปทิ้งไว้ข้างทาง
ส่วนหัว ผลจากการชันสูตรรายงานว่า"....กะโหลก ไม่มีรอยแตกหรือบุบสลาย แม้จะมีรอยช้ำที่คอแต่ไม่ใช้สาเหตุการตาย..และสาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากถูก ตัดแยกร่าง แต่เธอตายเพราะอาการเลือดออกในสมอง ปริศนา อีกข้อหนึ่งที่ปวดหัวภายหลังคือ ผู้หญิงนิรนามผู้น่าสงสารนี้ถูกข่มขื่นหรือไม่เพราะไม่มีร่องรอยอสุจิที่ศพ แม้แต่น้อยและผู้หญิงนิรนามนี้ไม่สามารถร่วมเพศได้เด็ดขาด เพราะช่องคลอดของเธอตัน! เธอพิการช่องคลอดตั้งแต่กำเนิด เป็นไปได้หรือไม่ว่าฆาตกรพยายามขื่นใจเธอ แต่มันรู้ที่หลังว่าทำไม่ได้ มันโกรธแค้น เล่นกลับใครไม่เล่น จนลงมือสังหารโหดดังกล่าว ส่วน เรื่องอุจจาระที่เธอกินเข้าไปนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นของเธอหรือฆาตกร แต่น่าเสียดายนักเพราะถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าเราตรวจหาดีเอ็นเอ เราจะตอบคำถามนี้ไม่ยากเลย และเผลอ ๆ อาจจับคนร้ายได้อยู่หมัดก็ได้ นอก จากนั้นยังมีร่องรอยด้วยว่าฆาตกรลงมือตัดอวัยวะเพศเธอออกไปบางส่วน แต่ข้อมูลการชันสูตรนี้ ตำรวจปิดเป็นความลับสุดยอดเพื่อใช้หาผู้ทำผิดต่อไป และจาก การสอบสวนของตำรวจ ว่าศพหญิงนิรนามนั้นคือใคร จึงได้ส่งรอยนิ้วมือที่ศพส่งไปให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอตรวจหาจากแฟ้ม โดยหวังลึก ๆ ว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้า ใน ที่สุด เอฟบีไอก็แจ้งผลว่า ศพหญิงลึกลับผู้นี้คือ อลิซเบธ ซอร์ต ผู้ซึ่งมีประวัติและพิมพ์ลายนิ้วมือเอาไว้ เมื่อเธอสมัครเข้าทำงานในฐานทัพ แคมป์คุ้ก เมื่อ ค.ศ. 1942 โน่น แต่ตามกฎหมาย จำเป็นต้องชี้ศพให้แน่ชัด ฉะนั้นในวันที่ 22 มกราคม ตำรวจได้นำ พีบี้ ชอร์ต และจินนี่ พี่สาวของเบธมายืนยันศพของผู้เป็นที่รัก ตำรวจ คลุมสาวนอื่นของร่างกายที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนด้วยผ้าขาว โผล่ออกมาแต่ส่วนศีรษะให้เห็นหน้าชัดๆ เจตนาของตำรวจคือไม่ให้สมาชิกครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานใจเกินไปที่เห็นภาพ การถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แต่ กระนั้นใบหน้าของเบธมันเปลี่ยนจากเดิมมาก มันบูดเบี้ยวเขียวคล้ำ ปาก จมูก คิ้ว ตา ผืดรูปผิดร่างไปหมด เป็นผีตายซากที่ชวนให้ฝันร้ายชัด ๆ จินนี่อึกอัด จำน้องสาวตัวเองไม่ได้ คราวนี้ตำรวจเปิดผ้าห่อศพลงมาอีกนิด คราวนี้เธอก็เห็นไฝที่ไหล่ข้างซ้ายจึงบอกได้ว่าศพนี้คือเบธจริง ๆ ร่างไร้วิญญาณที่น่าเวทนาของเบธถูกฝังไว้ในสุสาน เมาน์เท่นวิว ในโอ๊คแลนด์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1947 มีญาติในครอบครัวประกอบด้วยมารดา พี่สาวสองคนและน้องสาวอีกสองและสามีหนึ่งในสี่นั้น แต่พ่อของเบธไม่ได้มาไม่รู้เพราะอะไร การสวดเป็นไปอย่างย่อ ๆ รวบรัดและรีบฝังไปในเวลาช่วงสั้น ๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นศพดังไปแล้ว..........................มันเป็นความฝันชั่วชีวิตของเธอว่าสักวันหนึ่งว่าเธอจะดังแบบดารา.....................
อลิซเบธ ชอร์ต เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย
อลิซเบธ ชอร์ต เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ใน เขตไฮด์ พาร์ค นครอสตัน บิดาเธอชื่อ คลีโอ อัลวิน ชอร์ต อดีตเจ้าของธุรกิจลานจอดรถ ผู้ผันอาชีพเป็นนักออกแบบและรับสร้างสนามกอล์ฟขนาดเล็กแทน ส่วนพีบี้ผู้เป็นมารดาลูกดกไม่ใช้ย่อย เพราะถ้ารวมเบธและเธอยังมีพี่น้องตามมาอีกสี่ รวมเป็นห้า ทั้งเป็นเป็นลูกสาวล้วนๆ ครอบครัวนี้ก็มีชีวิตรุ่งเรืองดีหรอกจนกระทั้งมันเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า "วอลล์ สตรีต ล่มสลาย" มันทำให้การเงินของคลีโอล่มจมไปด้วย แถมมันยังกระทบกับหุ้นของครอบครัวอีก ไอ้ที่กำลังตกต่ำก็เกิดอาการย่ำแย่ถึงขีดสุด......สุดทานทน และจู่ๆ คลีโอผู้เป็นพ่อก็หายตัวไปเฉยๆ มีผ้ำบนรถอันว่างเปล่าของเขาจอดทิ้งไว้แบบไม่ดูดำดูดีค้างอยู่บนสะพานชาล์สทาวน์ ว่ากันว่าเขาโดสะพานตายแบบธุรกิจรายอื่น ๆ เขาทำกัน เพื่อหนีปัญหาทั้งปวง เป็นอันว่าในค.ศ. 1930 คุณนายพีบี้ต้องรับปัญหาเลี้ยงลูกสาวตัวน้อย ๆ ถึง 5 คน ตามยถากกรรมตามลำพัต้องขอความช่วยเหลือจากสังคมสังเคราะห์ให้จ่ายเงิน สวัสดิการเป็นรายงให้เธอกับลูก และด้วยเงินอันน้อยนิดจำต้องย้ายไปบ้านที่คับแคบอย่างกับรังหนู ด้วย ความคับแค้นขัดสน ชีวิตห่อเหี่ยว บี้กับลูกๆ มีวิธีหย่อนใจที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด คือการดูหนัง พวกเธอเข้าไปดูโรงหนัง ภาพยนต์กันจนหูตาแฉะ การ หมกมุ่นกับภาพมายาจอเงินนี้เองทำให้อลิซเบธลูกสาวคนกลางของพีบี้ เกิดมีความฝันบรรเจิดเพริศแพร้วหนีออกจากโรคความจริงอันขื่นขมโหดร้าย เธอเริ่มหลงใหลใฝ่ฝันอยากเป็นดาราเสียแล้วสิ แม้ ครอบครัวจะยากจน แต่ลูกสาวทั้งห้าของพีบี้ก็มีเสื้อผ้าสะอาดได้ใส่กันไปโบสถ์ทุกๆ วันอาทิตย์ อลิซเบสนั้นเธอเป็นผู้หญิงสวย ใครเห็นก็ชม หนุ่มน่ะติดพันเป็นเกรียวอย่างกับแมลงวันตอมอึ แต่เธอมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดทำให้เธอออกจากโรงเรียนก่อนกำหนด และมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเธอโต เมื่อกลางคืน แทนที่จะหลับสบาย เธอต้องลุกขึ้นมาหอบตัวอย่างเวทนา การหายใจของเธอนั้นลำบากลำบนมากที่สุด
ออกจากเมดฟอร์ค
เมื่ออลิซเบธอายุ 16 เธอต้องออกจากบ้านตามลำพังมาอยู่ไมอามี่ รัฐฟลอริดา ตามลำพัง เพราะที่แมสซาซูเซตส์นั้นมันหวานเย็นไม่เหมาะกับเธอ เธอหางานทำและรับจ๊อบเป็นนางแบบพลางๆ ขณะที่เธออายุปีที่ 18 จู่ๆ แม่ของเธอได้รับจดหมายจากคลีโอ สามีของพีบี้ พ่ออลิซเบธที่ใครๆ ต่างว่าตายแล้วนั้นแหละ เขา อ้างว่าพยายามเสาะหาลูเกียให้กลับมาอยู่ด้วย......แล้วที่ทิ้งลูกเมียล่ะ เขาก็อ้างอีกล่ะว่าที่ทิ้งไม่ใช้ไม่รัก เพราะถ้าไม่ใช้เขาตายหรือ พีบี้กับลูกๆ คงไม่ได้รับเงินสังคมสังเคราะห์ได้สะดวกจำนวนมากหรือ? พีบี้อ่านแล้วไม่ยักโง่ เธอปฏิเสธคลีโออย่างหมดเยื่อหมดใย เธอถือว่านี้เป็นการทรยศหักหลังกันอย่างรุนแรง เธอกับลูกๆ ไม่ต้องการคลีโอเพราะทุกคนมีการงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว แต่ อลิซเบธ ชอร์ต ไม่คิดอย่างนั้น เธอตกลงตามคำชวนของพ่อ ให้ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองแวลลีโฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย สถานที่ไม่ไกลจากฮอลลีวู้ด นครแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกแห่งความฝันของเธอ สถานที่เธออยากไปมากที่สุดในชีวิตนี้ แต่ เมื่อเธอไปถึง ไม่นานนักเธอกับพ่อก็มีเรื่องมีราว เข้ากันไม่ได้ พ่อโกรธมากหาว่าเธอเป็นตัวขี้เกียจ ชอบไปมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าทหารเรือจากกองทัพในเมืองนั้น ชนิดควงกันเที่ยวไม่ซ้ำหน้า สุดท้าย อลิซเบธต้องออกจากบ้านไปทำงานในฐานทัพเรือเสียเลย โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานการเงินของราชนาวีที่แคมป์คุ้กสถานที่ฝึกทหาร และที่นี้แหละที่ตำรวจสามารถระบุศพเธอด้วยรอยนิ้วมือ
คดีฆาตกรรมจีออเกตเต้
เมื่อ ออกจากบ้านและครอบครัวมา เธอเปลี่ยนชื่อจากเบ็ตตี้เป็นเบธ ด้วยความงามและเสน่ห์เธอมักชนะการประกวดนางงามที่แคมป์คุกหลายต่อหลายครั้ง เธอป๊อบปูลาร์มาก มีเพื่อนฝูงแวดล้อมเยอะแยะไปหมด แต่ไม่นานเธอก็ออกจากงานเพราะถูกตำรวจจับข้อหาเมาสุรา จึงถูกส่งตัวกลับไปให้ผู้ปกครองที่เมืองเมดฟอร์ด ตามเดิม ทว่า ไม่นานอีก เบธก็เดินทางมาใช้ชีวิตในฮอลลีวู้ด นครหลวงแห่งโลกภาพยนต์ สมดังไฝ่ฝัน เธอเช่าโรงแรมอยู่ โดยแชร์ห้องกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ลูซิลล์ แต่ในช่วงเวลาที่เบธกำลังตามล่าหาความฝันของตัวเองอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมขึ้น จี ออเกตเต้ เพื่อนรักคนหนึ่งของเบธผู้ที่พาเธอรู้จักพวกดาราและผู้กำกับฯมากมาย ได้ถูกฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ ศพของเธอเปลือยเปล่าท่านล่างใส่แต่เสื้อนอนตัวเดียว และเธออยู่ในน้ำที่แดงฉาดเต็มไปด้วยเลือดสดๆ จาก การชันสูตรพบว่าจีออเกตเต้ถูกฆ่ารัดคอตายด้วยผ้าเช็ดหน้าและชิ้นหนึ่งของผ้า เช็ดหน้านี้ถูกฉีกออกแล้วฆาตกรได้กระทุ้งมันเข้าไปในคอของจีออเกตต้า ทั้งยังพบร่องรอยการขมขื่นมนุษย์ผิดมนุษย์มนา รอยศีรษะและหน้าท้องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตก่อนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จีออเกตเต้ไม่ใช้ผู้หญิงธรรมดาเหมือนเบธ เธอมาจากครอบครัวฐานะดีมาก บิดาของเธออยู่คณะผู้ทำหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพล คนดัง คดี นี้มืดมนแปดด้าน เพราะไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับกุมเขาได้ อีกทั้งครอบครัวของจีออเกตเต้ใช้อิทธิพลหนังสือพิมพ์ปิดข่าวอีก เพราะไม่อาจให้ข่าวของลูกออกสู่หูชาวบ้าน เดี๋ยวจะเอาไปประจาน คดีนี้ก็ยังเป็นปริศนาคดีหนึ่งแต่ เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมในเวลาต่อมาสำหรับเบธ
โรคประสาท ความฝันสลาย
เส้นทางสู่ฮอลลีวู้ดของเบธไม่ง่ายเลย เธอเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นไม่ว่าไป ชิคาโก,เมดฟอร์ด จนกระทั้งเธอย้ายกลับมาที่ ไมอามี่ บีช อีกครั้ง ที่นั้นเธอได้คบนักบินพันตรีนามว่า แมตต์ กอร์แดน ไม่นานหลังจากที่รู้จักกัน ผู้พันแมตต์ขอเบธแต่งงานและเธอตอบตกลง เบธเขียนจดหมายถึงแม่รำพันความดีสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมไปหมดของผู้พันนี้ ผู้ซึ่งเธอถวายมอบกายชั่วชีวิต หวังพึ่งพิงอิงแอบเขาตลอดไป แต่ต่อมาผู้พันแมตต์ผู้ส่งไปประเทศอินเดีย ทำให้เธอกลับไปรอเมดฟอร์ดด้วยความหวัง แต่ ใช่ว่า เบธจะเก็บหัวใจไว้เขาคนเดียวหรอก เพราะทันทีที่กลับสู่บ้านเกิด เบธก็คั่วแฟนเก่าสมัยถ่านไฟเก่าเต็มไปหมด ขลุกนวดตัวกันทั้งวัน แต่เหลือเชื่อเธอยังรักษาพรหมจารีอย่างมหัศจรรย์ และแล้ววันหนึ่งเดือนพฤษภาคม 1945 เบธได้รับโทรเลขด่วน มันมาจากมารดาของผู้พันแมตต์ "ได้ รับจากกระทรวง แมตต์ตายแล้ว เพราะเครื่องบินตกขณะเดินทางออกจากอินเดียเพื่อจะกลับบ้าน ในความทุกข์โศกของครอบครัวเรา มีเธอรวมอยู่ด้วยเสมอ ช่วยภาวนาขออย่าให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง" เบธอ่านก็รู้ว่าโลกนี้ถล่มทลาย ชีวิตและความหวังของเธอสูญสลายไปตามเขา ดังนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืน เบธค้นเอาจดหมายของผู้พันแมตต์มากองไว้ตรงหน้า และเวียนอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหลุดออกจากโรคแห่งความจริง ลอยสู่โลกจินตนาการ เพราะเธอเที่ยวไปเล่าเป็นตุเป็นตะให้กับคนอื่นฟังว่า เธอแต่งงานกับผู้พันแมตต์เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาไปรับราชการที่อินเดีย เธอท้องกับเขาด้วยน่ะ แต่แท้งไปเสียก่อน เธอพรรณนาจนตัวเองก็หลงเชื่อว่ามันจริง!
ฉายารักเร่สีดำ
หลัง จากที่สูญเสียแมตต์ไปกลางอากาศ เบธก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เธอแต่งหน้าตัวเองให้ดูคล้ายผี ใช้รองพื้นสีขาวโปะจนหน้าซีดเผือก ทาปากทาด้วยสีม่วงดำเข้มเหมือนศพตายซาก แล้วสวมชุดดำสนิท เธอเดินทางไปฟลอริดา และขึ้นเหนือสู่ชิคาโก และแคลิฟอร์เนียเพื่อไปอยู่กับแฟนเก่าอีกคนหนึ่งของเธอ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง แต่ชีวิตคู่เริ่มระหอกระแหง เพราะกอร์แดนอยากคั่วกับเธอ แต่เธอไม่ยอม อ้างว่าจะรอจนกว่าจะเข้าพิธีถูกต้องตามประเพณีดีงามแล้วเท่านั้น สถานการณ์ที่เครียดขาดผึ่งตอนที่กอร์แดนอาละวาดบังคับให้เธอเลิกทำตัวเป็นสาวมากรัก ห้ามเที่ยวชายอื่นทั้งหมด! เบธทนไม่ไหวหรอก นิสัยของเธอขาดผู้ชายได้ที่ไหนล่ะ และในที่สุด เธอก็ได้รับสมญานามว่า "แม่ดอกรักเร่สีดำ" ฉายานี้ได้มาจากหนังฮอลลีวูดที่กำลังฉายเรื่องหนึ่งชื่อ บลู ดาห์เลีย รักเร่สีฟ้า หนังดังของ เรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ ด้วย เหตุนี้เองที่เบธมีพฤติกรรมแปลกๆ แต่งตัวประหลาดๆ ด้วย รองพื้นจนขาวซีด ไว้ผมยาว ใส่ชุดดำเดินไปเดินมา เบธ ชอร์ต ก็เลยถูกเรียกว่า "แบล็ค ดาห์เลีย" ไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลังจากตัดสวาทกับ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง เบธก็อาศัยอยู่นครลอสแอนเจลิส อาศัยเช่าห้องกับเพื่อนสาวจากบอสตัน ชื่อ มาร์จอรี่ แกรห์ม ความฝันอยากเข้าวงการภาพยนต์ของเบธยังบรรเจิดไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับการบริหารเสน่ห์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทาลงสักนิด มา ร์ติน เลวิส เจ้าของร้านขายรองเท้า แสดงเวทนาและปรานีต่อหญิงสาวตกงาน เงินขาดมือ ด้วยการมอบรองเท้าคู่สวยๆให้เธอฟรี และเธอก็ตอบแทนเขาด้วยการบริการพิเศษ ใช้ปากสวยๆ เป่าปี่ ให้ถึงอกถึงใจ แต่การรุกคืบทางเรือนร่างนอกเหนือจากนั้นไม่สำเร็จ เพราะแม่ดอกรักเร่ดำไม่ยอมเปิดทางไม่ว่าเป็นใครก็ตาม นอก จากมาร์ตินแล้ว ชายอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเธอมีเป็นร้อย เป้นต้นว่า เรย์ คาซาเรียน เซลสืแมน ฮาล แมกไกวร์ นักขายโฆษณาทางวิทยุ นายทหารนอกราชการ เอ็ดวิน เบิร์นส์ แต่ละคนไม่มีใครเลยที่ได้แอ้มกินไข่แดงแม่ดอกรักเร่ดำเลย ทุกคนสัมผัสได้แค่สมรรถภาพของปากและมือของเธอเท่านั้น เธอ อยู่กับมาร์จอรี่ไม่ได้นานนัก เบธก็ย้ายสถานที่เปลี่ยนที่นอนไปเลย ๆ หลาย ๆ ที่ ทุกคนที่เธอไปนอนด้วยบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เบธมักจะตื่นขึ้นตอนกลางดึก แล้วไอโขลก ๆ ยันรุ่ง แถมเบธชอบยืมเงินไปซื้อเครื่องสำอาง ยืมไปแล้วก็ลืมหน้าตาเฉย ในที่สุดจุดหมายครั้งสุดท้ายของเบธ คือลอสแอนเจลิส โรเบิร์ต แมนลีย์ แฟนเก่าอีกคนของเธออาสาขับรถไปส่ง โดยไม่บ่นว่ามันไกลแสนไกลที่ไหน(เวลานั้นเบธอยู่ที่ซานดิเอโก) วันรุ่งขึ้น แมนลี่ย์ขับรถไปส่งเบธถึงลอสแอนเจลิสตามสัญญาณ เขาช่วยเธอแบกกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ในตู้ฝากที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ จากนั้นก้ส่งเธอเข้าโรงแรมบิสท์มอร์ ซึ่งทราบกันในที่หลังว่า เธอไม่ได้จองห้องพักแม้แต่ห้องเดียว แต่มีพยานหลายคนเห็นเธอใช้โทรศัพท์ของโรงแรมหลายครั้งหลายหน โดยโทรจากบูธในล็อบบี้โรงแรมนี้แหละ แมนลี่ย์ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาส่งเธอเสร็จแล้ว ก็กลับ พยาน เล่าว่าหลังจากที่เธอโทรศัพท์จนหูไหม้แล้ว เบธก็เตร่ไปเตร่มาแถว ล็อบบี้นานเป็นชั่วโมงๆ หลายคนจำเธอได้ ก็เธอแต่งชุดไม่เหมือนใครด้วยสิพยาน คนสุดท้ายที่เห็นเธอมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือ พนักงานเฝ้าประตู เขาบอกว่าเห็นเธอออกไปตอนสี่ทุ่ม เดินหายไปในความมืดรัตติการแห่งนครลอสแอนเจลิส....ไปสู่การมรณกรรมอันแสนสยด สยองสุดขีด! ที่กล่าวไว้ในตอนที่ 1
ความหลงไหล
คดีนี้เป็นคดีในอดีตที่ดังมากในอเมริกาเทียบเท่าคดีซีอุยในประเทศไทย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ของอังกฤษ มีหนังสือที่เกี่ยวกับคดีนี้ที่พิมพ์ออกมาถึง 3 เล่ม และเป็นชื่อของวงดนตรีแนวร็อกสยองวงหนึ่งชื่อ เดอะ แบล็ก ดาเนีย ส่วนเขาร้องอย่างไรอันนั้นผู้เขียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกัน ทันที ที่สำนักข่าวหนังสือพิมพ์รู้ข่าวว่าคนตายชื่อ อลิซเบธหรือเบธ ทั้งๆ ที่ข่าวนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ไปสู่สาธารณชน น่ะหนังสือพิมพ์ทุกสำนักเร่งขุดคุยประวัติเธอเลยล่ะ ทั้งปลอมตัวเป็นตำรวจไปสืบเบาะแสในบาร์ ไปหาแม่เธอในขณะที่แม่เธอยังไม่รู้ว่าลูกสาวเธอตายเลยล่ะ และมีข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ของเบธก็มาเป็นระลอกคลืน และสมญานาม แบล็ค ดาห์เลียก็กลายเป็นเสน่ห์เย้ายวนในการพาดหัวข่าวให้กับคดีนี้อย่างมีสีสันอย่างเหลือเชื่อ!
ห่อของสยองขวัญ
26 มกราคม จู่ๆ สำนักพิมพ์ ลอสแอนเจลีสเอ็กซ์แซมิเมอร์ที่ลงข่าวคดีนี้อย่างเจาะลึกและต่อเนื่อง ได้รับห่อพัสดุปริศนาห่อหนึ่ส่งมาที่นั้น มันเป็นกล่องสีน้ำตาล เหม็นกลิ่นน้ำมันหึ่ง และมีนีตสั้นๆ ที่ไม่ได้เขียนด้วยลายมือและพิมพ์ดีด แต่ใช้ตัดคำมาจากหนังสือพิมพ์แล้วมาแปะใจความว่า "นี้คือสมบัติส่วนตัวของ ดาห์เลีย และเอกสารที่เป็นเบาะแส" ทางโรงพิมพ์ต้องรอให้ตำรวจไปเปิดห่อปริศนานี้เองเพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญของคดีนี้ ขืนไปยุ่งกลับมันจะเสียหาย และทำลายหลักฐานเปล่า ๆ แน่ล่ะ! ทุกคนชะเง้อชะแง้ด้วยความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น และแล้วตำรวจตำรวจก็เปิดห่อเหม็นน้ำมันนั้น หยิบสิ่งของออกมาที่ละอย่าง ๆ ภาย ในกล่องมีหลักฐานส่วนตัวของเบธจริง ๆ รวมทั้งบัตรประกันสังคม สูติบัตร และตั๋วที่เธอไปแสดงเพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ในลอสแอ นเจลีสนั้นด้วย นอกจากนี้ ตำรวจได้หยิบเอาไดอารี่เล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นไดอารี่ของปี ค.ศ. 1937 และ เขียนชื่อไว้ว่า มาร์ค เอ็น เฮนเซ่น บนหน้าปก แต่ปรากฏว่า เบธ เอามาใช้เป็นสมุดจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของเหล่าผู้ชายหนุ่มที่เคยออกเด ตด้วยล้วนๆ ยาวเป็นหางว่าวเชียวล่ะ รายชื่อพวกนี้ สิ่ง ที่น่าสังเกตคือ ทุกอย่างที่อยู่ในห่อนี้ ส่วนใหญ่ถูกเช็ดด้วยน้ำมันเบนซิน เพื่อให้ลบรอยนิ้วมือของตัวเองออกไม่ให้อยู่เป็นหลักฐานให้ตำรวจตามเจอตัว เขาได้ภายหลัง เชื่อ เลย ชายที่ส่งสมบัติที่เบธนำติดตัวไปขณะเดินออกจากโรงแรมบิลท์มอร์ ในค่ำคืนแห่งซะตากรรมของเธอไปที่สำนักพิมพ์ ไม่ใช้ใครอื่นไปได้เลย นอกจากคนที่ทำทารุณกรรม ทรมาน และสังหารเธออย่างโหดเกรียม! อย่างไรก็ตาม แม้ ผู้ส่งจะพยายามเอาเบนซิลล้างเช็ดลายนื้วมือออกไม่เหลือเหรอ แต่เมื่อข่าวนี้ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ ดันบอกว่า มีรอยนิ้วมือที่เห็นอย่างชัดเจนสมบูรณ์แบบ อย่างน้อย 12 แห่ง อย่างน้อยถึง 12 รอย อยู่บนห่อพัสดุนั้น...เอาล่ะสิ! แต่ ที่จริงแล้ว หนังสือพิมพ์เขียนเวอร์เกินไป รอยนิ้วมือที่ไหนล่ะ มันเป็นแค่รอยเลอะๆ ที่มองไม่ออก เอฟบีไอหรือเอฟบีเอ็ม โอ อา ที่ไหนก็ตรวจไม่ได้หรอกจะบอกให้ จึงเป็นว่าห่อของนี้เหลวไม่ได้เรื่องได้ราวคืบหน้าเยิบใกล้ตัวฆาตกรเลยสัก นิด
ความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้
กรมตำรวจแห่งนครลอสแอนเจลีส ออกมาแถลงข่าวว่าคดีแบล็ค ดาห์เลีย นี้อาจเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้ เมื่อ 2 ปีก่อนก็ได้ เมื่อสำรวจตรวจสอบว่าใครหนอ?ที่เกี่ยวพันสองสาวผู้ตายจนน่าสงสัย ผลจากการสืบก็พบว่า มีดาราหนุ่มคนหนึ่ง อาร์เธอร์ เลค น่าสงสัยมากที่สุด พยานหลายคนบอกตรงกันว่า ในช่วงปี 1944 ที่เบธและจีออเกตเต้ทำงานอยู่ที่นี้ ทั้งคู่สนิทสนมกับอาร์เธอร์มาก มาทีไรก็คุยกันขลุกกันตลอดเป็นธรรมดาที่ตำรวจต้องเชิญอาร์เธอร์มาสอบถามตามระเบียบ พระเอกอาร์เธอร์คนนี้ไม่น่ารักเท่าไรเลย เขาคงกลัวหรือมีนิสัยกร่างหรือกินอะไรมาก็ไม่รู้ พอเขามาถึงเบ่งกับตำรวจเลยว่า รู้ไหมอั๊วลูกใคร รู้จักพวกเฮิร์สต์ไหม ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการหนังสือพิมพ์อเมริกันน่ะจะบอกให้ อั๊วน่ะเกี่ยวข้องกับมาเรีย เดวี่ส์ เธอเป็นเมียน้อยของ วิลเลี่ยม แรมดอล์ฟ เฮิร์สต์ และมาเรียนก็เป็นน้าเมียของอาเธอร์เอง! งง ไหมล่ะ ไปลำดับญาติเอาเองล่ะกัน อีกอย่างน่ะจำได้ไหมเอ่ย เจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์คนนี้เคยใช้อิทธิพลหยุดความอื้อฉาวของคดีฆาตกรรมจี ออเกตเต้มาแล้ว เพราะเธอเป็นลูกสาวของลูกน้องเขา และบิดาของจีออเกตเต้ก็ทุกข์ใจมากในความตายที่น่าอับอายของเธอ นี้ถ้าตำรวจมาฝอยคดีนี้อีก มีหวังคุณเฮิร์ต์ไม่พอใจแน่ๆ อย่างไรก็ตามต่อคำถามที่ว่า เขาชอบพอกับสองสาวที่กลายเป็นเหยื่อฆาตกรรมต่างวาระมากน้อยขนาดไหน? อาร์เธอร์ เลค ตอบคำถามนี้โดยดีว่า รู้จักและคุยกันถูกคอ แต่ก็แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรกันในกอไผ่ ตอนนั้นเขาจำพวกเธอแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ขอรับรองว่า เขาไม่ใช่คนฆ่าพวกเธอ
การ สอบถามอาร์เธอร์ และพยานบุคคลอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับคดีจีออเกตเต้ มีอันต้องหยุดชะงักลง อาจเป็นเพราะอิทธิพลของเฮิร์สต์จริงๆ ก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ตำรวจไม่อาจเจาะลึกเพราะคดีทั้งสองคดีมีส่วนคล้ายคลึงจนน่าขน ลุกมากที่เดียว เช่น ศพทั้งสองถูกยัดด้วยด้วยวัตถุแปลกปลอม ในคอของจีออเกตเต้มีเศษผ้าเช็ดตัวถูกกระทุ้งเข้าไปลึกจนถึงในหลอมลม หลอดอาหาร ยับเยินหมด ส่วนในทวารของเบธ ก็มีแต่เศษหญ้าเศษหนังของเธอเองประการต่อมา มันเป็นการฆ่าที่เกี่ยวกับน้ำทั้งคู่! จีออเกตเต้ถูกสังหารโหดในอ่างน้ำ ศพจมน้ำผสมเลือดแดงฉาด ส่วนเบธนั้นไม่รู้ว่ามันฆ่าเธอที่ไหนกันแน่ แต่ฆาตกรก็สระผม อาบน้ำเธออย่าสะอาดเอี่ยม ล่างเลือดออกจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เชื่อกันว่า เป็นไปได้สูงเลยที่สองคดีนี้มีบางสิ่งบางอย่างเชื่อมโยงกัน แต่ตำรวจเจอทางตันเสียก่อน
การสืบคดีของตำรวจ
อลิซเบธ ชอร์ต ถูกพบเป็นศพสองท่อน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 1947 ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับคดีนี้ 20 คน แต่พอถึงวันที่ 20 มกราคม กำลังของเจ้าหน้าที่เพิ่มเป็น 50 คน ตั้งหน้าตั้งตาสืบคดีชนิดเต็มอัตราศึกกันเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อได้กล่องพัสดุสมบัติส่วนตัวของสาวผู้เป็นเหยื่อมาแล้วด้วย พวกเขายิ่งต้องรีบรุดติดตามเบาะแสทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หลักฐานสำคัญสำคัญชิ้นหนึ่งคือ ไดอารี่ที่เขียนชื่อนาย มาร์ค เฮนเซ่น ตำรวจจึงต้องตามเขามาสอบสวน มาร์คการให้ว่า เขาจำ เบธ ชอร์ต ได้เพราะเธอเคยมาเช่าห้องอยู่ในบ้านของเขา แต่ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเธอเลย ไม่รู้จะช่วยตำรวจอย่างไร ส่วนสมุดไดอารี่เล่มนี้น่ะ เบธคงเห็นมันสวยดี เลยหยิบเอาไปใช้เฉยๆ ไม่ได้บอกได้กล่าวหรือขอเขาสักคำ ก็ขโมยนั้นแหละ! มา ร์ติน เลวิส คนขายรองเท้าที่เคยให้ของฟรีเพราะสงสารเบธก็ถูกตำรวจเชิญมาสอบสวนด้วย แต่รายนี้นี้เล่นกล่าวหาตำรวจลอสแอนเจลิสหรือแอลเอพีดี ข่มขู่ให้เขาบอกทุกอย่างกับเบธ และ แม้ว่าเขาจะอ้างที่อยู่ได้ว่า ตอนเบธตายเขาอยู่กับครอบครัวในโอเรกอน แต่มาร์ตินก็ไม่วายถูกตำรวจขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งจนได้ ลามไปแม้กระทั้ง ผู้พันแมตต์ กอร์แดน ว่าเขาตายไปจริงหรือเปล่า แต่ ผลก็ปรากฏว่าเขาตายจริงๆ แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าระหว่างเขาคั่วกับเบธนั้นเขามีครอบครัวแล้ว ซึ่งแสดงถึงความตอแหลของเบธที่บอกว่าใครๆ ว่าเธอหมั่นจะแต่งงานกับผู้พัน เมื่อเขากลับจากภารกิจสงครามจากอินเดีย ด้วยการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ แอลเอพีดีพยายามอย่างยิ่งที่จะรวบรวมทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลเพื่อไขปริศนาคดีแบบสุดโหด คำถามหนึ่งที่พวกตำรวจกระวนกระวายที่ต้องการคำตอบมากที่สุดคือ "สถานที่สังหาร ดาห์เลีย อยู่ที่ไหนกันแน่" อาจจะเป็นใต้ถุนหรือใต้ดินสักแห่ง ไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นโรงงานร้างหรือห้องปฏิบัติการที่ไกลผู้ไกลคน เพราะสภาพศพของแบล็ค ดาห์เลีย แสดงออกถึงการถูกทำทารุณ ทรมานแสนสาหัส เธอต้องกรีดร้อง ดิ้นรน ส่งเสียงร้องถึงความช่วยเหลือ จะมีใครได้ยินเสียงไหมหนอ ตำรวจต้องการตัวคนๆ นั้นอย่างยิ่ง ใครก็ได้ที่รู้ว่า เธอถูกฆ่าที่ไหน? แอลเอพีดีทำงานแบบเบ่งเวรกันเป็นกลุ่ม คอยรับโทรศัพท์ทุกสถานีที่เข้ามาแจ้งเบาะแสแล้วพยายามรวบรวมข้อมูลเหล่านั้น เหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เพื่อให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ฆาตกรอาจจะมีเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ บรรดาตำรวจนักสืบ กอร์เดน ฟิคคลิ่ง และผู้ชายทุกคนที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดโทรศัพท์ของเบธ คราว นี้ก็ถึงตาโรเบิร์ต แมนลี่ย์ชายคนสุดท้ายที่อยู่กับเบธที่ยังมีชีวิตอยู่ (ถ้าไม่นับฆาตกรน่ะ) คนที่ขับรถพาเธอไปส่งลงที่โรงแรมบิลท์มอร์ในลอสแอนเจลิสไง ชาย หนุ่มพาตำรวจไปรับกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่เบธฝากไว้ในสถานีรถเกรย์ฮาวด์ เมื่อตำรวจเปิดมันออกพบว่าในนั้นมีเสื้ผ้า จดหมายและรูปถ่ายครอบครัวและเพื่อนๆ ของเบธ ไม่ เพียงเท่านั้น โรเบิร์ต แมนลี่ย์ ยังบอกว่า รองเท้าและกระเป๋าสตางค์ที่ตำรวจพบใกล้ๆ กับศพเบธนั้น เป็นของเธอจริงๆ เขาจำรองเท้าคู่นั้นได้ ส่วนกระเป๋าเขาจำได้เพราะกลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้ประจำน่ะ น่าเศร้ามากภายหลัง การสืบสวนของตำรวจและนักสืบ ทำให้ โรเบิร์ต แมนลี่ย์ เครียดจัดจนประสาทเสียถึงขั้นวิกลจริตเลย และสุดท้ายเขาต้องเข้าบำบัดโดยการซ็อตไฟฟ้าเสียผู้เสียคนไปเลย
นักสารภาพ
ตำรวจ ลอสแอนเจลีส รู้สึกเหมือนจมปลักอยู่กับภาพลักษณ์อันแปลกประหลาดของ แบล็ค ดาห์เลีย และข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่มน่าสงสัยไปหมดทุกคน รวมทั้งโทรศัพท์จากพลเมืองดีที่เชื่อว่า คนนั้นบ้างคนนี้บ้างเป็นฆาตกรตัวจริง ทุกอย่างสับสนปนเป วุ่นวายเกินบรรยาย แต่ที่น่าปวดเศียรเวียนกล้ามากที่สุดเห็นจะเป็นพวกคนจิตไม่ปกติที่ชอบวิ่งโร่ขึ้นโรงพักแล้วสารภาพว่า.....ฉันนี้แหละฆาตกรชื่อดัง! คน ประเภทนี้ไม่ใช้แค่มีคนเดียว ตำรวจเจอเป็นร้อยๆ แถมมีทุกยุคทุกสมัยถ้าคดีดังๆ เข้าพวกนี้จะแห่มาเหมือนงานวัดเลยล่ะ อย่างกรณีของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน หรือคดีสังหารโหดนางงามเด็กก็มีกรณีแบบนี้มาแล้ว คดีแบล็ค ดาห์เลียก็เช่นกัน คดียิ่งดังก็มีคนอยากดังแบบบ้าๆ บวมๆ มาเสนอหน้าสารภาพเป็นแถวกันขนานใหญ่ นับไปนับมามีกว่า50 คน! น่าเห็นใจตำรวจต้องสืบสวน 50 คนตามระเบียบ แต่ละคนนั้นช่างสรรหาเรื่องให้ฟังอย่างกับนิทาน การ์ตูน 5 บาท ใส่สีตีไข่ชนิดสุดพิสดาร แต่ผลสุดท้ายทุกคนก็ตกม้าตายตรงที่เจอคำถามลับสุดยอดของตำรวจว่าเอาอะไรใส่ลงไปในทวารหนักของแบล็ค ดาห์เลีย? ไม่มีใครตอบถูกสักคนสรุปคือมั่วนิ่ม! เดินคอตกกลับบ้านเป็นแถวด้วยความผิดหวัง อดดังในฐานะฆาตกรในคดีประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันพวกสารภาพยังดาหน้าเข้ามาไม่รู้จักจบสิ้น.......มีกระทั้งผู้หญิง! สาวเลสเบี้ยนนางหนึ่งให้การว่า เธอนี้แหละฆ่าแบล็ค ดาห์เลีย เองกับมือ หลังจากทะเลาะกันอย่างรุนแรง พนักงาน ล้างจานคนหนึ่งอุตสาห์ลงทุนบินมาจากนิวยอร์กเพื่อมายอมรับผิดว่า เขาคือผู้ตัดร่างแบล็ค ดาห์เลีย ขาดเป็นสองท่อน แต่เขาไม่ได้ฆ่าเธอน่ะ ผู้ชายอีกคนหนึ่งต่างหากที่เป็นคนลงมือฆ่า.....ชื่ออะไรเรอะ....? ไม่รู้สิ! มันไม่ได้บอกชื่อนี้ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็มา ฆ่าเสร็จก็หายไป ทิ้งศพไว้เป็นภาระเขา มีชายคนหนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาตำรวจดี ฉายา "ทอม นักสารภาพ" เพราะมันมาสารภาพทุกคดี งานนี้ก็มากับเขาด้วย แต่ก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เพราะไม่สามารถตอบคำถามซอตเด็ดได้อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ตำรวจลอสแอนเจลีสออกจะปลงๆ เรื่องการตามหาฆาตกรตั้งนานแล้วล่ะ...นานกว่าพวกไม่เต็มเต็งพวกนี้จะเข้ามา แอบอ้างสารภาพอีก ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1947 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับวิจารณ์วิเคราะห์ (ได้อย่างแม่นยำ) ว่าตำรวจนี้ไม่สามารถปิดคดีได้ตลอดกาล
วิเคราะห์จิตใจฆาตกร
ลองคิดกันเล่น ๆ ซิว่าคนประเภทไหนน้อ? ที่สามารถฆ่าคนได้สุดวิตถารขนาดนี้! อะไรเป็นเหตุจูงใจที่มันทำ และฆาตกรน่าจะเป็นคนอย่างไร
เอ ฟบีไอได้ทำการวิเคราะห์ฆาตกรรายนี้ว่า น่าจะเป็นชายผิวขาว สันโดษ อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว รักความสะอาดแบบผิดมนุษย์ประมาณว่าโรคจิต เขาอาจมีประวัติอยู่ในแฟ้มคดีตำรวจนี้แล้วก็ได้และคงมีประสบการณ์ในการตัด หั่น และชำแหละสัตว์ขนาดใหญ่ๆ เช่นหมู วัว จึงอาจทำอาชีพเป็นคนขายเนื้อ หรือไม่ก็พรานล่าสัตว์
"แบล็ค ดาห์เลีย" ไปเจอะเจอฆาตกรแบนนี้ที่ไหนหรือ?
คง จะเป็นในบาร์ที่ไหนสักแห่งน่ะ เธอคงให้ท่าเขาแล้วก็กลับปฏิเสธ เมื่อเขามีอารมณ์กลัดมันสุดขีด เธอดัดสะดิ้งไม่ยอมให้เขาร่วมเพศด้วย มันเลยหน้ามืด หมั่นไส้สุดๆ โกรธแค้นจนอยากขยี้ตายคามือ และต้องอย่างทารุณแบบนี้แหละ ดู จากสภาพศพแล้วคิดดูก็แล้วกัน ว่ามันมีนิสัยแบบไหน หนึ่งคือการทรมานแบบเอาปลายมีดกรีดเนื้อตรงขาอ่อนใกล้กับอวัยวะเพศ แล้วเอาปลายมีดเซาะควักเนื้อแดงๆ ออกมาเป็นก้อนๆ แล้วยัดเข้าไปในทวาร เป็นใครก็แหกปากร้องสุดชีวิตแน่ๆ นี่ไม่นับการถูกบังคับกินอึก้อนเบ้อเริ่มนะ การทรมานไม่ให้ชาวบ้านได้ยินเสียงกรีดร้องสยองโหยหวนได้ต้องทำในชั้นใต้ดินหรือไม่ก็กลางทะเลทรายไกลผู้ไกลคนเท่านั้น! หลัง จากฆ่าฆาตกรยังนำศพของเธอไปอาบน้ำสระผม ขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดขึ้นเงา...เลือดในศพไม่มีเหลือสักหยด แล้วยังไม่หนำใจ ยังตัดกลางลำตัวเธอจนขาดเป็นสองท่อน...เพราะอะไรเหรอ...... คงเนื่องจากความซาดิสต์ และด้วยความจำเป็นทีต้องยัดในกระเป๋าเดินทางก็ได้แต่ยากที่สุดในการเดาเหตุผลคือ ทำไมฆาตกรถึงเอาศพเธอไปทิ้งในที่เสี่ยงต่อการถูกพบด้วย ในริมถนนนอร์ตันนั้น?
บางที่จิตสำนึกบางส่วนของฆาตกรอาจอยากถูกให้ตัวเองถูกจับได้!
ศพถูกวางไว้ที่กลางแจ้ง มองเห็นได้ง่าย และท่าศพก็สยดสยอง เพราะท่อนล่างเปลือยเปล่านั้นนอนถ่างขาอ้าซ่า ท่อนบนยกแขนขึ้นเหนือหัว ปากถูกฉีกให้มีลักษณะกำลังยิ้มๆ...เป็นศพที่อยู่ในท่าเชิญชวนให้ร่วมเพศส่วน การที่ฆาตกรส่งหลักฐาน ซึ่งเป็นข้าวของผู้ตายของเบธมาให้สื่อมวลชน แสดงว่าตัวเองอยากดัง อยากให้หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวที่เป็นผลงานของมันให้รู้กันทั่วโลก แต่การที่มันล้างทุกอย่างด้วยเบนซิน ก็แปลว่าแม้จะหลงใหลใฝ่ฝันว่าเป็นฆาตกรละดับชาติ อยากมีชื่อในประวัติศาสตร์อาชญากรรมแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากถูกจับเข้าคุกหรือไม่ ต้องการให้ตำรวจสืบหาเบาะแสมาถึงตัวมันได้
1949 รายงานจากคณะลูกขุน
เมื่อตำรวจคว้าหน้าเหลว ตำรวจก็ต้องถูกสอบสวนเสียเองว่าทำถึงถึงบกพร่องขนาดนี้? คดีดังเสียด้วยสิ เปลืองเงินภาษี คณะ ลูกขุนเชิญตำรวจมาพบเพื่อสืบสางเรื่องราว และให้ชี้แจ้งระบบการทำงานทั้งหมด จากนั้นก็เขียนเป็นรายงานส่งศาล เกี่ยวกับคดีนี้ทั้งหมด ในที่สุดลูกขุนก็สรุปว่าตำรวจไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประประสิทธิภาพ เพราะความหวาดหวั้นผู้มีอิทธิพล และนี้คือสาเหตุที่เป็นอุปสรรคการสืบสวนคดีนี้ และสรุปคือต้องโยกย้ายกันมโหฬารชนิดถอนรากถอนโคน ตำรวจแอลเอพีดีถูกสับแบบไม่ไว้หน้า บางคนก็หลุดตำแหน่ง บางคนก็เกษียณก่อนอายุราชการเลยก็มี
ข่าวลือ
เขาว่ากันว่าเธอเคยพบและมีสัมพันธ์สวาทกับมาริลิน มอนโร เขาว่ากันว่าเธอเป็นโสเภณี น่าเชื่อไหม? แต่ที่น่ากลัวคือเธอแสดงหนังสแต็ก รู้หรือเปล่าว่าหนังสแต็กแปลว่าอะไร ?มันคล้ายๆ กับหนังโป๊ที่ขายในบ้านเราแต่มันโหดกว่านั้น เพราะนักแสดงหญิงในเรื่องหนังอุบาทว์ประเภทนี้ จะถูกทารุณกรรมแบบซาดิสต์ สิ่งที่เห็นในหนังแบบนี้เช่น ถูกมีดบาด แทง เข็มจิ้มตามลำตัว ทรมานบางที่ก็ตายคากล้องไปเลยนั้น.....เป็นของจริง! อย่างไรก็ตามถ้า เบธ ชอร์ต แสดงหนังเรื่องนี้จริง น่าจะมีคนดูจำเธอได้ก็เธอสวยไม่ใช่เล่นนี้ แต่นี้ไม่มีใครมาบอกตำรวจเลย ไม่ มีแม้แต่การทดสอบหน้ากล้อง สรุปว่าเธอไม่เคยปรากฏบนแผ่นฟิล์มใดๆ ทั้งสิ้น แม้เธอจะมีรูปโฉมโนมพรรณที่ปั้นเป็นดาวรุ่งไม่ยากนักก็ตาม
แพะที่ชื่อเลสลี่ย์ ดิลล่อน กับ เจฟฟ์ คอนเนอส์
ในปี 1948 เลศลี่ย์ ดิลล่อน พนักงานไมอามี่โฮเต็ล เขียนจดหมายถึง ดร.พอล เดอ ริเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญคดีความผิดทางเพศ ดอกเตอร์ ท่านนี้ทำงานให้กับกรมตำรวจแห่งนครลอสแอนเจลีสหรือแอลเอพีดี ทั้งๆ มีผู้สงสัยว่าใบประกอบโรคศิลป์ของท่านนั้นเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่? จดหมายของ เลสลี่ย์ ดิลล่อน เขียนเล่าว่าเพื่อนของเขาเคยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก เคยได้พบกับ เบธ ชอร์ต เมื่อ ค.ศ. 1947 เมื่ออ่านจดหมาย ดร.พอล ก็เตรียมการนัดพบดิลล่อนที่ลาสเวกัส ราวเดือนมกราคม 1449 แสเงเจตนารมณ์ให้เห็นชัดๆ ว่า เขาอยากให้ดิลล่อนร่วมมือกับเขา เขียนหนังสือคดี แบล็ค ดาห์เลียขายเพราะเล็งเห็นกำไร แต่เอาเข้าจริง การนัดพบครั้งนี้ดอกเตอร์วางแผนจร่วมมือกับแอลเอพีดีติดเครื่องดักฟังตลอด เพราะดร.สงสัยว่าดิลล่อนนี้แหละที่น่าสงสัยมากที่สุดและอาจจะเป็นฆาตกรตัว จริง ดร.พอลและตำรวจ 4 นาย กักตัวดิลล่อนในห้องหนึ่งของโรงแรม และสอบสวมเขาอย่างก้าวร้าวรุนแรง การเริ่มไต่สวนโหดขึ้นๆ จนกระทั้งต้องย้ายดิลล่อนไปสอบอีกโรงแรมหนึ่งที่มีผู้คนพักน้อยกว่า และห้องหับเก็บเสียงที่มิดชิดกว่า โหด หรือไม่ คิดดูล่ะกันดิลล่อนถูกจับแก้ผ้าแล้วล่ามติด กับเครื่องทำความร้อน โดนแม้กระทั้งแจ้งข้อหาว่ากระทำความผิดข้อหาว่าฆ่า เบธ ชอร์ต แต่แล้วก็ถูกปล่อยตัว เจฟฟ์ คอนเนอส์ เพื่อนในซานฟรานซิสโกของดัลล่อนก็พลอยติดร่างแหไปด้วย ถูกจับและแจ้งข้อหาลักษณะเดียวกัน แต่ในที่สุดก็ไม่มีหลักฐานไม่นานนักได้รับอิสรภาพพร้อมกับดิลล่อนออ ดีไม่ว่าดีมาแส่เรื่องใส่ตัวและลากเพื่อนไปอีก............ออ สรุป ว่าเลสลี่ย์กับเจฟฟ์เป็นเหยื่อของความคลั่งเกินเหตุของตำรวจแอลเอพีดี ที่เครียดและถูกกดดันจากขณะลูกขุน สาธารชน และสื่อมวลชนอย่างสุดแสนสาหัสถูกก่นด่าแทบจะบ้าตายกันไปทั้งกรม
ผู้ต้องสงสัย
ตั้งแต่ วันที่เบธถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม และมีผู้พบศพสยองทว่าจนแล้วจนรอด ก็มีเพะมากมายเรียงหน้ากันเป็นผู้ต้องสงสัย หรือไม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรรม แต่ก็มีเด่นๆ มีไม่กี่คนครับ บางรายก็ไม่รู้ว่าร้องไห้สงสารเขาหรือว่าหัวเราะดี? โดยจากแฟ้มที่เด่นๆ เจ๋งๆ มีดังต่อไปนี้
จอร์ช โนวล์ตัน
รายนี้ตายนานแล้วล่ะ ตั้งแต่ปี 1962 โน่น แต่ในปี 1986 เจนิซลูกสาวเขาก็มาป่วนประกาศให้โลกรู้ว่าพ่อเธอเป็นฆาตกรในคดีแบล็ค ดาห์เลีย! เจนิซ โนวล์ตัน เกิดที่แมนซาซูเซตส์ เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1937 เธอทำงานเป็นนักร้อง และต่อมาบริษัท วอลท์ดิสนีย์ก็จ้างเธอเป็นเลขานุการิณี และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงราวกลางทศวรรษที่ 80 พื้น ฐานจากหน้าที่การงานในบริษัท วอลท์ดิสนีย์ก็เป็นบันไดทองให้เธอก้าวสู่ความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัว โดยเธอออกมาทำบริษัทประชาสัมพันธ์รับงานโฆษณาเพื่อสร้างภาพพจน์ให้เป็นที่ ชื่นชมต่อสาธารณชน
ราวกับเวรกรรมจากชาติปานก่อนมาดับความรุ่งโรจน์ของเธอ
เจนิซต้องเคราะห์ร้ายทรมาทรกรรมจากโรคซึมเศร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ พอถึงปี 1985 มดลูกและรังไข่ของเจนิซถูกตัดออก เพราะผู้ตรวจรักษาบอกว่า เธอไม่จำเป็นต้องมีมันให้ยุ่งยากกับชีวิตและร่างกายเธออีกต่อไป เธอเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิตปลายปี ค.ศ. 1986 ในแคลิฟอร์เนีย ระหว่างที่บำบัด เธอดันนึกได้ว่าเธอถูกบิดาเธอล่วงละเมิดทางเพศสมัยเป็นทารกโน่น(จำแม่นจริงๆ) เธออ้างอีกว่าจอร์ช โนวล์ตัน พ่อเธอน่ะเป็นสมุนตัวเอ้ในลัทธิบูชาซาตานในลอสแอนเจลิส ว่าแล้วเธอก็เขียนหนังสือเรื่อง "แดดดี้ วอส เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย คิลเลอร์" แปลเป็นภาษาไทยบ้านเราว่า "คุณพ่อเป็นฆาตกรฆ่า แบล็ค ดาห์เลีย" เจนิซฟื้นความจำเก่าว่า สมัยเธอยังเป็นทารก บิดาได้ทิ่มอวัยวะที่ชูชันใส่หน้าเธอ และตอนเธออายุได้ 18 เดือน เขาก็พยายามสอดใส่มันเข้าไปในร่างน้อยๆ ของเธอด้วย! แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะมารดามาขวางก่อน ในความจำรำลึกนั้นเจนิซเห็นภาพจอร์ซบิดาเธอกำลังลงมือสังหารแบล็ค ดาห์เลีย อย่างทารุณในโรงรถติดกับบ้าน ภาพ ที่เธอเห็นมันโหดร้ายสิ้นดี พ่อเป็นฆาตกรซาดิสต์ที่ฆ่ามาเจ็ดศพ และแบล็ค ดาห์เลียเป็นศพที่แปด เพราะพ่อเธอเป็นคนสมองวิปริตจิตพิการมาตลอดชีวิตที่เดียว เธอจำได้ว่าพอพ่อฆ่า เบธ ชอร์ต ตายแล้ว ก็ตัดศพของเธอเป็นสองท่อนด้วยเลื่อย เพราะพ่อมีความสัมพันธ์สวาทกับชอร์ต จากนั้นเจนิซก็บรรยายอย่างละเอียดละออถึงขั้นตอนการที่พ่อใช้เลื่อยตัดศพเบธแยกขาดเป็นสองท่อนตำรวจแอลเอพี บวกลบคูณหารเรื่องที่เจนิซเล่าแล้ว ก็ลงความเห็นว่า จอร์ซ โนวล์ตัน หาใช่ฆาตกรผู้ฆ่าแบล็ค ดาห์เลียไม่ ไม่….มี ทางเป็นไปได้เลย ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม จอร์ซเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยลูกที่เป็นผู้ป่วยด้วยอาการผิด ปกติของสมองที่สร้างความทรงจำหลอกๆ ขึ้นมาเอง ดังนั้นความน่ากลัวและรายละเอียดที่ฟังดูสมจริงนั้น เชื่อไม่ได้แม้แต่คำเดียว จอร์ซไม่เคยทำทารุณกรรมทางเพศต่อลูกสาวที่เป็นที่รัก และไม่เคยฆ่าผู้หญิงแม้แต่คนเดียว
อาร์โนลด์ สมิธ เอ.เค.เอ.แจ๊ค แอนเดอร์สัน วิลสัน นี้ก็อีกราย
"…….ผมกำลังจะตอกประตูปิดฝาโลงผู้หญิงสำส่อนสุดจะเปรียบจะปานคนนี้ แล้วปิดคดีระยำนี่ซะที โปรดช่วยลูกด้วยเถิดพระผู้เป็นเจ้า" ความตอนหนึ่งที่นักสืบ จอห์น เซนต์จอห์น แห่งแอลเอพีดี ส่งถึง จอห์น กิลเมอร์ ผู้เขียนเรื่อง เซเวอเรด : เดอะทรูสตอรี่ ออฟ เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย เมอร์เดอร์" (1998) ในหนังสือเล่มนี้ จอห์น กิลเมอร์ ได้บรรยายถึงรายละเอียดคำบอกเล่าที่ผู้แจ้งข่าวไปบอกตำรวจ คำบอกเล่าจากชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าอาร์โนลด์ สมิธ ที่ไม่อยากไปเจอหน้าตำรวจโดยตรง เลยวานผู้แจ้งข่าวเอาเรื่องเล่าของตนไปเล่าต่อให้ตำรวจฟังอีกที สมิธอ้างว่าเขารู้จัก เบธ ชอร์ต และเอารูปให้ผู้แจ้งข่าวดู ในรูปถ่ายนั้นมีลูกของเขาและแบล็ค ดาห์เลีย และชายอีกคนชื่อ อัล มอร์ริสัน มอร์ริสันกับสมิธเช่าห้องหนึ่งในโรงแรมอยู่ด้วยกัน และเขาพาแบล็ค ดาห์เลีย หรือเบธ ชอร์ต ไปเล่นเซ็กซ์หมู่กันในห้องนั้น แต่เธอไม่ยอมเอาแต่ผนักไสจนเขาสองคนเกิดความโมโหและหมั่นไส้เต็มแก่ สมิธอ้างว่า มอร์ริสันลวงเบธไปสังหารที่บ้านบนถนน อิสต์ 31 ในลอสแอนเจลีสอัลมอร์ริสัน ทรมานเธอด้วยวิธีต่างๆ นานา ด้วยการใช้มีดเชือดเฉือนและตัดเนื้อเธอออกสดๆ จนแบล็ค ดาห์เลีย ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ขาดใจตายคามีด มอร์ริสันโกรธมากที่เธอตาย เขาจึงแทงเธอที่ศีรษะอย่างแรง จากนั้นศพถูกนำมาชำระล้างสะอาดจนหมดจด แล้วใช้มีดชำแหละเนื้อตัดร่างเธอให้ขาดจากกัน ก่อนเอาศพไปทิ้ง สมิธ นั้นตำรวจรู้จักกันดีเขามีนามหนึ่งว่า แจ๊ค แอนเดอร์สัน วิลสัน มีประวัติเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมทางเพศ…..แบบรักร่วมเพศ และทำร้ายคู่ขาที่เป็นผู้ชายด้วยกัน เขามีชื่อติดบัญชีผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม จีออเก็ตเต้ บาวเออดอร์ ที่น่าขนลุกคือ เขารู้รายละเอียดที่มีแต่ฆาตกรตัวจริงรู้เท่านั้น เรื่องที่จอห์น กิลเมอร์เล่านี้น่าเชื่อถือมากทีเดียว ทำให้ชื่อของวิสสันหรือสมิธขึ้นอันดับหนึ่งผู้ต้องสงสัยที่เดียว นักสืบขอให้กิลเมอร์ล่อวิลสันให้พูดมากกว่านั้น ให้เขาติดกับเพื่อตำรวจจะได้ยื่นมือเข้าไปจับกุมเขาได้ แต่…………ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างตำรวจมากนัก วันที่ 4 กุมภาพันธุ์ 1982 เพียงไม่กี่วันที่ ตำรวจกำหนดจะจับตัวเขา จู่ๆสมิธหรือวิลสันก็ตายในกองเพลิงที่ไหม้ห้อง 202 ของโรงแรมฮอลแลนด์ ในลอสแอนเจลีส เขาอาศัยอยู่ทีที่นี้นาน 4 ปีแล้ว ไม่ทำอะไรนอกจากดื่มเหล่าขนาดหนัก และดำรงชีวิตได้จากเงินสวัสดิการ เรื่อง ที่จอห์น กิลเมอร์เล่านี้น่าเชื่อถือมากที่เดียว แถมตำรวจแอลเอพีดียังสนใจและขนาดใกล้ขั้นจับกุมตัวอยู่รอมร่อ ทำให้วิลสันขึ้นอันดับหนึ่ง ในการเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งมากกว่าใครๆ ทั้งหมด
วอลเทอร์ เบย์ลี่ย์
ชื่อ ผู้ต้องสงสัยนี้มาจากการสังเกตคนหนึ่งของนักข่าวว่ามีบางอย่างเชื่อมโยง ระหว่างสถานที่พบศพกับแขกผู้มีเกียรติที่เป็นสักขีพยานในงานสมรสของ เวอร์จิเนีย ชอร์ต พี่สาวคนโตของเบธ สักขีพยานคนนั้นลงชื่อในทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1945 ว่า บาร์บารา ลินด์แมน ลูกสาวของดร. วอลเทอร์ อลองโซ เบย์ลี่ย์ ศักย์แพทย์หรือหมอผ่าตัดผู้มีคลินิกและบ้านอยู่ในย่านที่เกี่ยวกับความตาย ของเบธ ชอร์ต ดังนี้ สถานที่แรกคือ บ้านที่คุณหมออยู่กับภรรยา เป็นบ้านเลขที่ 3959 เซาธ์ นอร์ตัน เอเวนิว ซึ่งใกล้มากกับจุดพบศพ แห่งที่สองคือ ที่ทำงานหรือคลินิกของคุณหมอ 1052 ถนนเวสต์ที่ 6 ห่างเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรมบิลท์เมอร์ ที่ซึ่งมีคนเห็น เบธ ชอร์ต หรือแบล็ค ดาห์เลีย เป็นครั้งสุดท้ายในขณะมีชีวิตอยู่ ข้อมูล นี้ ถูกนำมาผนวกกับการที่คุณหมอรู้จักครอบครัวชอร์ตเป็นอย่างดี และหลังจากเบธถูกสังหาร ชีวิตของคุณหมอก็ถึงจุดตกต่ำ ป้ำๆ เป๋อๆ กลายเป็นอัลไซเมอร์ และชีวิตของคุณหมอก็ตึงเครียดอย่างมากจนถึงค.ศ. 1948 คุณหมอเบย์ลีย์ก็เสียชีวิต น่าเชื่อว่า หมอเบย์ลี่ย์อาจมีแรงจูงใจและส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเบธ แต่มันไม่มีหลักฐานนี้สิ........!?
คดีปิดไม่ลง
จนกระทั้งทุกวันนี้ คดี แบล็ค ดาห์เลีย ยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น เอกสารทั้งหมดถูกเก็บไว้ในแผนกอาชญากรรมประเภท ปล้นฆาตกรรมของตำรวจนครลอสแอนเจลิส หรือแอลเอพีดี ที่ปาร์คเกอร์ เซ็นเตอร์ 150 ถนน นอร์ธ แอนเจลีส ใครสนใจขอไปอ่านดูได้ (ถ้าเขาอนุญาตน่ะ)
ข้อมูลจาก
http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=27
http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=28
http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=29
http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=30
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น