“โลก ในฝันนั้นอาจแยกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งไม่ดี เพราะเราสามารถจินตนาการในสิ่งที่ดีว่าเป็นสิ่งที่สวยสดงดงาม สิ่งที่ไม่ดีคือสิ่งที่ขยะแขยง แต่ถ้าเป็นโลกแห่งความจริงเราสามารถแยกความจริงได้หรือเปล่า กลับกันสิ่งที่ไม่ดีอาจได้รับความนิยมก็ได้ ความดีถูกมองในแง่ลบน่าขยะแขยงแทน และต่อไปนี้คือตัวอย่างที่ว่า จอมโจรที่ถูกสื่อมวลชนปั้นแต่งขึ้นให้ประชาชนมองเป็น “สุภาพบุรุษ”,”วีรุบุรุษ” ถึงแม้เขาจะฆ่าคนก็ได้ แต่ประชาชนชาวอเมริกันยังรักเขา เขานี้แหละคือจอห์น ดิลลิงเจอร์
หนังชีวประวัติจอห์น ดิลลิงเจอร์((ไม่รู้ดัดแปลงเหมือนหนังซีอุยหรือเปล่า)ถูกตั้งชื่อไทยเวอร์มากในชื่อวีรบุรุษปล้นสะท้านเมือง (ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส) กำหนดฉาย ในไทยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552นำ แสดงโดย จอหน์นี่ เดปป์ (Johnny Depp), คริสเตียน เบล (Christian Bale), แชนนิง ทาทัม (Channing Tatum), เดวิด เวนแฮม (David Wenham) กำกับโดยไมเคิล มานน์ (Michael Mann) ดูจากรายชื่อแล้วถือว่าเป็นดาราที่มีคุณภาพพอสมควร อยู่ที่การเล่าเรื่องการปรงแต่งละนะว่าจะดีหรือไม่ดี
จอห์น ดิลลินเจอร์ เขาคือจอมโจรเลื่องชื่อที่ชาวสหรัฐฯ ที่ก่อกรรมทำเข็นในช่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯตกต่ำ ในช่วงทศวรรษที่ 30 ถือได้ว่าเป็นบุรุษผู้ที่คนหลายคนรักใคร่และให้เกียรติ จนมีการยกวันที่เขาเสียชีวิตเป็นวันจอห์น ดิลลินเจอร์ (John Dillinger Day) ใน วันที่ 22 กรกฎาคม ของทุกปี ซึ่งวันนั้นบรรดาแฟนคลับจะไปรวมตัวกัน ณ โรง ภาพยนตร์ไบโอกราฟ ย่านลินคอร์น ปาร์ค ชิคาโก เพื่อเดินไปบนเส้นทางที่เขาเคยวิ่งหลบกระสุนก่อนจะลาโลกไป
น่าแปลกที่มีผู้คนชื่นชอบจอห์น ดิลลินเจอร์ เหมือนเช่นเอ็ดดี กีน เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว เขาไม่ใช่คนที่สร้างประโยชน์ใดๆให้สังคมเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขาเป็นจอมวายร้าย เป็นโจรที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง ในฐานะผู้นำแก๊งปล้นธนาคารหลายแห่ง ปล้นอาวุธของทางการ สังหารผู้คนและเป็นเซียนแห่งการแหกคุก
ชื่อ ของเขาถูกขนามนามว่า “เจ้าผู้ร้ายตลอดกาล” เพียงปีเดียวที่ก่ออาชญากรรม จอห์น ดิลลิงเจอร์ และแก๊งของเขาปล้นธนาคาร 11 ครั้ง ได้เงินไป 3 แสนกว่าดอลลาร์ เขายิงเจ้าหน้าที่และประชาชนบริสุทธิ์ 15 คน และ 17 คนบาดเจ็บ เขาเคยถูกจับ 3 ครั้ง แต่ก็แหกคุกออกมาได้ จนผู้อำนวยการ FBI ที่ชื่อเจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ที่ตำรรงดำแหน่งในขณะนั้นออกประกาศวิทยุด้วยตนเองว่าเขาคือ “ศัตรูหมายเลขหนึ่งของชาติ”
แต่ทำไมประชาชนถึงรักใคร่เขาและทำไมสื่อมวลชนจึงยกย่องเขาว่าเป็นวีรษุรุษ เพราะ ในยุคทศวรรษที่ 30 ที่เศรษฐกิจตกต่ำนี้เอง ผู้คนเดือดร้อนและสิ้นหวัง ไร้ความหวังไปทุกหย่อมหญ้า ปัญหาจำนวนคนว่างงานมากมาย พวกนายธนาคารและชนชั้นสูงของสังคม กลายเป็นพวกที่ถูกมองยังมีความเป็นอยู่อู้ฟู่ และคงความร่ำรวยเสมอบนซากปรักหักพังของเศรษฐกิจ ดังนั้น พวกเขาหวังอะไรสักอย่างที่ปลุกกระแสกลบความสิ้นหวังต่อเศรษฐกิจของประชาชน และเมื่อ จอห์น ดิลลินเจอร์ก้าวเข้ามา จอมโจรผู้เข้ามาสร้างความฮือฮาด้วยการปล้นธนาคาร จึงกลายเป็นวีรบุรุษ จนได้ฉายาว่าเป็นโรบินฮูดยุคใหม่ มันสะใจมากที่ได้เห็นภาพเหล่านี้
ดิลลินเจอร์มีชื่อเต็มว่าจอห์น เฮอร์เบิร์ต ดิงลิงเจอร์ (John Herbert Dillinger) เป็นชาวเมืองอินเดียนาโปลิส หลังจากลืมตามาดูโลกในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ.1903 ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีชีวิตเรียบๆ พ่อของเขาชื่อ จอห์น วิลสัน ดิลลิงเจอร์(John Wilson Dillinger)เปิด ร้านขายของชำเล็กๆ เลี้ยงครอบครัว เพื่อหวังให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือและทำงานดี(ดูๆ ไปคล้ายตี๋ใหญ่นะเนี้ย) และ 3 ปีต่อมา แม่เขาก็ป่วยเสียชีวิต ทำให้ขาดแม่บ้าน พี่สาวคนโตคือออเดรย์(Audray)อายุ 16 แต้องก้าวมาดูน้องๆ และพ่อแทน แต่เมื่อออร์เดย์แต่งงานออกเรือนในปีต่อมา ทุกคนในบ้านก็ต้องช่วยเหลือตนเอง และเมื่อจอห์นอายุ 9 ขวบ พ่อก็แต่งงานใหม่ และแม่เลี้ยงคนใหม่ที่เข้ากับลูกเลี้ยงไม่ได้ ดิลลินเจอร์เริ่มเป็นเด็กเก็บกด เติบโตมาแบบเด็กมีปัญหา ไม่เล่าเรียนหนังสือ แถมยังเกเรเกตุง และเริ่มการลักเล็กขโมยน้อย เขามีความฝันว่าเขาจะเป็นเหมือน เจสซี เจมส์(Jesse James)จอมโจรชื่อดังในอดีต
ต่อมาดิลลินเจอร์ก็เริ่มหลงรักแม่เลี้ยงของตนเอง แม่ใหม่ที่อายุน้อยกว่าพ่อตนมาก เธอชื่อเอลิซาเบธ ฟิลด์ส(Elizabeth Fields) แต่เขาพยายามหลีกหนีความจริงนี้ เขาเริ่มชอบอยู่นอกบ้าน และด้วยบุคลิกที่ชอบให้คนทำตาม ทำให้ชีวิตเกเรของดิลลินเจอร์ก็เริ่มขึ้น เขาตั้งแก๊งเล็กๆ ที่จากรวบรวมเด็กๆ แถวบ้านขึ้นมาโดยมีกิจกรรมลักเล็กขโมยน้อยเป็นงานหลัก
มาถึงตอนนี้ประวัติวีรกรรมตอนเด็กของดิลลินเจอร์ ก็ถูกกล่าวถึงอย่างมากมายแล้ว ยกตัวอย่าง เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อเฟรด บริวเวอร์ เป็นเด็กบ้านแตก วันหนึ่งเขาและเพื่อนคนนั้นหลอกเด็กคนหนุ่มเข้าไปในป่า ตรงที่พวกตัดไม้ทำงานกัน ทั้งหมดรอคนพวกนั้นเลิกงาน เพื่อที่จะได้เข้าไปเล่นเครื่องมือกันดิลลินเจอร์กับ เฟรดจับเด็ฏคนนั้นขึงพรืดบนโต๊ะที่มีเลื่อยวงกลมไฟฟ้าที่ใช้แปรรูปไม้ แล้วเดินเครื่อง เมื่อร่างของเด็กคนนั้นถูกเลื่อนไปห่างเลื่อยไม่กี่หลา ดิลลินเจอร์ก็ปิดเครื่อง หัวเราะกันยกใหญ่ ส่วนเด็กคนนั้นร้องไห้แทบช็อก จนกระทั้งทั้งแก๊งถูกตำรวจจับได้ ดิลลินเจอร์เลยถูกส่งเข้าทัณฑสถานเยาวชน
ประวัติ วีรกรรมของดิลลินเจอร์เริ่มถูกบันทึกในสาธารณะนับตั้งแต่นั้นมา ถึงความร้ายกาจและไม่กลัวใครของเขา กล่าวกันว่า หนูน้อยดิลลินเจอร์จ้องตาผู้พิพากษาอย่างไม่เกรงกลัวเมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ต่างจากเด็กอื่นๆ ที่ก้นหน้ายืนตัวสั่น เขาสวมหมวกเบสบอลและเคี้ยวมากฝรั่งต่อหน้าผู้พิพากษา พอผู้พิพากษาสั่งให้เขาถอดหมวกและคายหมากฝรั่งออก หนูน้อยยิ้มเยาะแล้วเอาหมากฝรั่งออกจากปากช้าๆ ปิดมันลงไปที่ปีกหมวกและหมุนปีกกลับไปด้านหลัง
ดิลลินเจอร์เติบ โตมาโดยการเลี้ยงที่เข้มงวดของพ่อ ทำผิดต้องถูกเฆี่ยน จนเขากลายเป็นเด็กดื้อ เขาเรียนหนังสือไม่จบ พ่อต้องส่งเขาไปทำงานในโรงงานกระเบื้องเคลือบ แต่ก็ไม่รอด เพราะไม่มีความอดทนต่อการทำงาน พ่อจึงขายร้านและทรัพย์สินทั้งหมดเอาเงินไปซื้อที่ดินทำไร่ที่มัวร์สวิลล์ แต่ก็ไม่สามารถดัดนิสัยดิลลินเจอร์ได้ พ่อของเขาจึงเหลืออดจนกระทั่งตัดความสัมพันธ์ในที่สุด
ในช่วงนี้ดิลลินเจอร์ใช้ชีวิตเหลวแหลกสุดๆ เขาชอบเล่นพนันและหิ้วผู้หญิง เขามีความสัมพันธ์กับญิตเขาคนหนึ่งชื่อฟรานซีส ธอร์นตัน(Frances Thornton) แต่ก็ถูกบังคับให้เลิกกันโดยญาติของเธอ ดิลลินเจอร์เลยทำตัวเหลวแหลกประชดสังคม หากินกับการพนักและเที่ยวผู้หญิง
ดิลลินเจอร์พยายาม เปลี่ยนชีวิตด้วยการไปสมัครเป็นนาวิกโยธิน แต่ ก็อยู่ไม่รอด หลังจากที่ฝึกหนัก 5เดือน เขาก็ทนไม่ไหว ต้องหนีกลับบ้าน และสัญญากับพ่อว่าเขาตะกลับตัวและหางานทำ แต่แล้วนี้ดิลลินเจอร์ก็ทำให้พอ่และครอบครัวตกใจอีกเมื่อเขาควงสาวอายุ 16 ปี แบรีล โฮวิอัส(Beryl Hovias) และต่อมาชีวิตการเป็นคนดีของเขาก็ไปไม่รอด เมื่อถูกจับได้ว่าเขาขโมยไก่ของฟาร์มอื่นมา 51 ตัว เจ้าของจะเอาเรื่องให้เขาติดคุก แต่พ่อก็วิ่งเต้นจนหลุดมาได้ และกระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกก็กลับมาแย่อีกครั้ง พ่อไล่เขาไปหาที่อยู่ใหม่ จนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของจอมโจร
ในเวลานั้นภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาตกต่ำไปทั่ว ประกอบกับการที่ดิลลินเจอร์ไม่มีวุฒิการศึกษาเป็นชิ้นเป็นอัน เขาเลนหางานทำอะไรก็ไม่ได้ จนกระทั้งเขารู้จักเอ็ด ซิงเกิลตัน(Ed Singleton)ทำ ให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมปล้นร้านของชำแห่งหนึ่งในย่านอินเดียนาโปลิส ในวันที่ 6 กันยายน 1924 จอห์นี พร้อมปืนพกแบบ .32 คาลิบอร์ห่อไว้ในผ้าเช็ดหน้า ทั้งสองรอเจ้าของออกจากร้าน พร้อมกล่องเงินไปรเพื่อตรงไปร้านตัดผม เขาเดินตามเจ้าของร้านชำแล้วหวดศีรษะของเจ้าของร้านจนล้มลง เจ้าของพยายามหยิบปืนมายิงสอน แต่ดิลลินเจอร์ไวกว่าเจาลั่นกีระสุนใส่ร่างเจ้าของร้านแล้วเอากล่องกระโดด ขึ้นรถที่เอ็ดรออยู่ขับออกไปรวดเร็ว แต่ก็ไปไม่รอดเพราะพ่อขอให้เขายอมมอบตัวเพื่อให้โทษเบา ดิลลินเจอร์ยอมเชื่อฟังพ่อ เขาถูกขึ้นศาลและตัดสินจำคุก 10 ปีในเรือนจำเพ็นเดิลตัน ในวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ. 1924
แต่ นั่นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงดิลลินเจอร์ไปตลอดกาลคุกทำให้หนุ่มอ่อนโลกกลายเป็น หนุ่มผู้แข็งแกร่ง รวมถึงการได้เพื่อนมากมายในนั้น ดิลลินเจอร์ทำความรู้จักกับโจรเก่งๆหลายคน ดังนั้น เมื่อออกมาจากคุกได้ในกลางปี ค.ศ.1933 ก็เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการเป็นจอมโจรของดิลลินเจอร์ ที่หลังจากนั้นก็ปล้นดะ โดยมีธนาคารใหญ่ๆเป็นเป้าหมายหลัก
กลวิธี การปล้นของดิลลินเจอร์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาโด่งดัง เพราะจอมโจรมาดเนี้ยบคนนี้ไม่ค่อยธรรมดา เขาไม่ได้ใช้วิธีพกปืนไปปล้นอย่างโฉ่งฉ่าง แต่จะสุขุมกว่านั้น เช่น ปลอมตัวเป็นพนักงานขายระบบสัญญาณเตือนภัยเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารก่อน จะปล้นเงียบ หรือ แม้แต่การปล้นแบบโฉ่งฉ่างของเขา ก็ยังทำจนกลายเป็นตำนาน เพราะ ดิลลินเจอร์ผู้ฉลาดรอบคอบ จะจัดทีมมาทำทีเป็นกองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายฉากปล้น ทำให้แม้จะมีผู้คนมากมายเห็นการปล้นธนาคาร แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะนึกไปว่าเป็นกองถ่ายหนัง ทั้งๆที่ตอนนั้นเงินของธนาคารได้ถูกฉกชิงไปเสียแล้ว พอเรื่องมาแดงทีหลัง แทนที่กระแสมหาชนจะด่าว่าเขา กลับพร้อมใจกันปรบมือให้ในความคิดสร้างสรรค์ที่ทำลายนายแบงก์นี้
อย่าง ไรก็ตาม ความสุขุมและฉลาดลึกของดิลลินเจอร์ก็ไม่ได้ช่วยให้รอดเสมอไป ตอนที่เข้าปล้นธนาคารในโอไฮโอ เมื่อ 22 กันยายน 1933 เขาก็ถูกจับจนได้ แต่ระหว่างที่ถูกจำขังอยู่ พรรคพวกจำนวนหนึ่งก็แหกคุกไปก่อน แล้วย้อนมาช่วยพาดิลลินเจอร์แหกคุกตามไปด้วย งานนี้สังเวยด้วยชีวิตนายอำเภอเจสซี ซาร์เบอร์(Jesse Sarbr))ที่ถูกยิงดับไป 1 ศพ(ถูกแฮรี่ เพียร์พอยต์หนึ่งในสมาชิกแก๊งค์ยิง)
ต่อ มาวันที่ 23 มกราคม 1934 ดิลลินเจอร์ ก็เข้าซังเตอีกจนได้ คราวนี้เจ้าหน้าที่รัฐเอาไปขังไว้ที่คุกที่มีการดูแลอย่างแน่นหนา แต่ติดคุกได้ไม่ถึง 2 เดือน พ่อหนุ่มก็แหกคุกออกมาได้อีก ด้วยการทำปืนปลอมขึ้นมาจากไม้เอาไปหลอกขู่ผู้คุม และเช่นเคย กระแสมหาชน ชื่นชมความสามารถของเขา เจอเข้าไปหนัก อย่างนี้ แถมการปล้นก็ไม่หยุดยั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องขอให้เอฟบีไอเข้ามาช่วยตามล่าดิลลินเจอร์และ พรรคพวก งานนี้ผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ส สั่งให้เจ้าหน้าที่พิเศษมือดีอย่าง แซมมวล เอ คาวเลย์ และ เมลวิน เพอร์วิส เข้าไปเป็นทีมไล่ล่า ซึ่งก็เหมือนการเล่นเกมแมวไล่จับหนู ที่มักจะฉิวเฉียด คลาดกันไปคลาดกันมาอยู่หลายที ดิลลินเจอร์ก็ยังหลบได้เรื่อยๆ จนได้รับฉายาว่าพ่อหนุ่มกระต่าย หรือแจ๊ค แร็บบิต เพราะสามารถหนีตำรวจได้อย่างคล่องแคล่ว พอๆกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วในขณะปล้น
ใน ช่วงท้ายๆของการก่อวีรกรรม ดิลลินเจอร์สยายปีกตั้งแก๊งใหญ่ในชิคาโก ในขณะที่เอฟบีไอก็ตั้งศูนย์ไล่ล่าเขาอยู่ในเมืองเดียวกัน โดยพลพรรคในแก๊งใหม่ของดิลลินเจอร์เองก็ถือเป็นคนดังในหมู่โจร เช่น โฮเมอร์ แวน เมเตอร์, เลสเตอร์ กิลลิส ที่มีฉายาว่าไอ้หน้าอ่อน (เบบี้เฟส) เนลสัน, เอ็ดดี้ กรีน, ทอมมี่ คาร์โรล ฯลฯ
แก๊ง ที่มั่นคงนี้ทำการปล้นหนักในชิคาโก จนมีการติดประกาศจับและให้ราคาค่าหัวดิลลินเจอร์และพรรคพวก และนั่นก็นำมาซึ่งจุดจบของวีรบุรุษจอมโจรเมื่อแม่เล้าชาวโรมาเนีย แอนนา เซก(Anna Sage) ผู้มีชนักติดหลังเรื่องเข้าเมืองผิดกฎหมายตัดสินใจแจ้งเบาะแสแก่ตำรวจ แลกกับการได้อยู่ในชิคาโกต่อ แม่เล้าคนนี้รู้ดีว่าโสเภณีคนหนึ่งในเครือข่ายของเธอกำลังเป็นหวานใจคนใหม่ของดิลลินเจอร์ เมื่อเธอนำความลับไปแจ้งเอฟบีไอ ก็มีการเตรียมแผนจับกุมทันที โดยเธอได้แจ้งว่า ดิลลินเจอร์นัดควงทั้งตัวแม่เล้าและโสเภณีคู่ขาของเขาไปดูหนังที่โรงภาพ ยนตร์ไบโอกราฟ และสาวนกต่อคนนี้จะแต่งชุดแดงเป็นสัญลักษณ์ให้เอฟบีไอรู้
22 กรกฎาคม 1934 วันมรณะของดิลลินเจอร์มาถึง เอฟบีไอปล่อยให้เขาไปดูหนังหย่อน อารมณ์เสียก่อน พร้อมตั้งทีมล้อมจับทันทีที่หนังจบ ซึ่งดิลลินเจอร์ก็มาตามนัด ขนาบข้างด้วยสองสาว และทันทีที่เห็นการเคลื่อนไหวของตำรวจ จอมโจรก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังงานเข้า ว่าแล้วก็รีบควักปืนออกมาเป็นเครื่องมือให้อุ่นใจ ก่อนจะวิ่งหนี แต่ไม่พ้นเอฟบีไอ 3 คนที่วิ่งตาม และส่งกระสุนไป 5 นัด ในจำนวนนี้ 3 นัดทะลุร่างวีรบุรุษแห่งยุคจนล้มคว่ำ สิ้นชื่อไปด้วยวัยเพียง 31 ปี ทิ้งตำนานจอมโจรไว้เบื้องหลัง และดังได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า ทุกวันครบรอบการเสียชีวิตของเขา 22 กรกฎาคม ถือเป็นวันจอห์น ดิลลินเจอร์ ที่บรรดาแฟนคลับจะไปรวมตัวกันเดินระลึกถึงเขาไปบนเส้นทางแห่งการหนีครั้งสุด ท้าย
ศพ ของดิลลินเจอร์ถูกนำกลับไปฝังที่บ้านเกิด และบ่อยครั้งที่มีแฟนคลับไปเยือนที่พักผ่อนตลอดกาลของเขา พร้อมกับแอบขโมยหินเหนือสุสานไปเป็นที่ระลึก ทำให้ต้องเปลี่ยนใหม่กันบ่อยๆ ด้าน พลพรรคจอมโจรนั้น หลังจากหัวหน้าแก๊งลาโลก เจ้าหน้าที่ก็ตามล่าหัวหน้าสมาชิกที่เหลือจนจับได้อีก 27 คน บางส่วนก็ลาโลกโฮเมอร์ แวน มีเตอร์ถูกเจ้าหน้าที่สังหารในเซนต์ ปอล วันที่ 23 สิงหาคม ปี 1924, เบบีเฟซ เนสสันถูกยิงเสียชีวิตจากการดวลปืนกับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 1934ซึ่งเขาเป็นสมาชิกคนสุดท้ายและนั่นก็ถือเป็นจุดจบของยุคที่เรียกว่ายุค แก๊งสเตอร์ครองเมืองของดิลลินเจอร์และพรรคพวก ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เกิดจอมโจรมากมายหลายแก๊ง จนสื่อมวลชนเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุคแห่งศัตรูของสาธารณะ หรือยุค Public Enemies ในช่วงปี 1931-1935 และล่าสุดคำว่า Public Enemies นี้ก็ได้กลายมาเป็นชื่อเรื่องของภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่หยิบยกเรื่องราวของดิลลินเจอร์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งก็จะเข้าฉายในช่วงเวลาแห่งการครบรอบการเสียชีวิตของเขาในเดือนนี้
สำหรับ อเมริกาแล้ว นี่คือบทเรียนครั้งสำคัญในการปราบปรามเหล่าขุนโจรและจัดการกับความวุ่นวาย อันเกิดจากพิษภัยเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งหลังจากการแก้ไขปัญหาในยุคนี้ก็นำไปสู่การพัฒนาเพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพของเอฟบีไอ จนกลายเป็นหน่วยงานเลื่องชื่อลือนามในปัจจุบันนั่นเอง
ข้อมูลจาก
http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=344
http://www.thairath.co.th/content/life/20390
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น